เทคโนโลยี Wi-Fi มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยการปรับปรุงใหม่แต่ละครั้งจะมีการปรับปรุงที่สำคัญมากกว่ารุ่นก่อน Wi-Fi 5, Wi-Fi 6 และ Wi-Fi 7 ล่าสุด ต่างก็มีคุณสมบัติ และการพัฒนาในเรื่องของเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ บทความนี่จะแสดงถึงการเปรียบเทียบโดยละเอียดของมาตรฐาน Wi-Fi ทั้งสามแบบนี้นะครับ
WiFi 5 (802.11ac)
Wi-Fi 5 เปิดตัวในปี 2014 เป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่จาก Wi-Fi 4 (802.11n) รุ่นก่อน โดยทำงานเฉพาะในย่านความถี่ 5 GHz ซึ่งมีการรบกวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับย่านความถี่ 2.4 GHz ที่ใช้ในมาตรฐาน Wi-Fi รุ่นก่อน ๆ
คุณสมบัติที่สำคัญ:
- Speed: WiFi 5 รองรับความเร็วสูงสุดถึง 3.5 Gbps ซึ่งเร็วกว่า WiFi 4 มาก
- MU-MIMO: เปิดตัวเทคโนโลยี Multi-User, Multiple-Input, Multiple-Output (MU-MIMO) ซึ่งช่วยให้ Access Point สามารถติดต่อสื่อสารกับอุปกรณ์หลายเครื่องพร้อมกันได้
- Channel Width: รองรับช่องสัญญาณ 80 MHz พร้อมช่องสัญญาณเสริม 160 MHz เพื่ออัตราข้อมูลที่เร็วขึ้น
WiFi 6 (802.11ax)
Wi-Fi 6 เปิดตัวในปี 2019 มีการปรับปรุงความเร็วและประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ทำงานในย่านความถี่ทั้ง 2.4 GHz และ 5 GHz ให้ความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพที่มากขึ้น
คุณสมบัติที่สำคัญ:
- Spped: WiFi 6 มีความเร็วสูงสุด 9.6 Gbps เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว เมื่อเทียบกับ WiFi 5
- OFDMA: Orthogonal Frequency-Division Multiple Access (OFDMA) ช่วยให้สามารถแบ่งช่องสัญญาณ WiFi ออกเป็นช่องสัญญาณย่อยที่เล็กลงได้ สิ่งนี้จะเพิ่มประสิทธิภาพโดยการทำให้อุปกรณ์หลายเครื่องสามารถใช้ช่องสัญญาณพร้อมกันได้ ด้านล่างเป็นวิดีโอที่อธิบายถึงทำงานของ OFDMA ได้แบบเข้าใจง่ายครับ
- Target Wake Time (TWT): คุณสมบัตินี้ช่วยปรับปรุงอายุการใช้งานแบตเตอรี่ของอุปกรณ์รับสัญญาณไร้สาย โดยการตั้งเวลาเมื่ออุปกรณ์ควรปลุกและสื่อสารกับ Access Point ซึ่ง Target Wake Time ช่วยให้อุปกรณ์ปลายทางตัดสินใจว่าจะรับหรือส่งข้อมูลเมื่อใดและบ่อยเพียงใดนั่นเอง
- การพัฒนา UL/DL MU-MIMO: Wi-Fi 6 ขยายขีดความสามารถของ MU-MIMO สำหรับ Uplink ขึ้นมาด้วย และปรับปรุงประสิทธิภาพเครือข่ายโดยรวม โดยสามารถรองรับ 8×8 UL/DL MU-MIMO ได้
WiFi 7 (802.11be)
WiFi 7 แม้จะยังอยู่ในการพัฒนาในการอัปเดตในช่วงปี 2023 แต่ก็พร้อมที่จะกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไปในเทคโนโลยีเครือข่ายไร้สาย และคาดการณ์ว่าจะเปิดตัวภายในปี 2024 นี้
คุณสมบัติที่สำคัญ:
- Speed: คาดว่าจะรองรับความเร็วเกิน 30 Gbps ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก Wi-Fi 6
- Spectrum Usage: WiFi 7 ทำงานในย่านความถี่ 2.4 GHz, 5 GHz และ 6 GHz ซึ่งให้การใช้งานคลื่นความถี่ที่กว้างขึ้นและการรบกวนน้อยลง
- Improve Latency: มีจุดมุ่งหมายเพื่อลด Latency ลงอย่างมาก ทำให้เหมาะสำหรับแอปพลิเคชันแบบเรียลไทม์ เช่น การเล่นเกม และ Vitual Reality (VR)
- Enhanced MU-MIMO และ OFDMA: คุณสมบัติเหล่านี้คาดว่าจะได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อประสิทธิภาพ และการขยายที่ดียิ่งขึ้น
สรุปการเปรียบเทียบ
1. ความเร็ว: WiFi 7 > WiFi 6 > WiFi 5
2. ย่านความถี่: WiFi 7 คาดว่าจะใช้ 2.4 GHz, 5 GHz และ 6 GHz; WiFi 6 ใช้ 2.4 GHz และ 5 GHz; WiFi 5 ใช้ 5 GHz
3. เทคโนโลยี: แต่ละรุ่นมีการพัฒนาต่อเนื่องกัน โดยจะนำเทคโนโลยีใหม่หรือเทคโนโลยีมาทำการปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น เช่น MU-MIMO, OFDMA และ TWT
4. ประสิทธิภาพการใช้งาน: มีการปรับปรุงในการจัดการอุปกรณ์หลายตัว และประสิทธิภาพเครือข่ายด้วย WiFi ใหม่ในแต่ละรุ่น
Note. ระหว่าง WiFi 6 และ WiFi 7 จะมี WiFi 6E มาคั่นอยู่ด้วยนะครับ และมีการเริ่มการใช้งานคลื่นความถี่ 6 GHz แล้ว แต่มาตรฐานยังเป็น 802.11ax อยู่ครับ
บทสรุป
วิวัฒนาการจาก WiFi 5 มาเป็น WiFi 7 แสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญในเทคโนโลยีไร้สาย ด้วยมาตรฐานใหม่แต่ละข้อ ผู้ใช้งานสามารถใช้ความเร็ว และประสิทธิภาพโดยรวมที่ดีขึ้น แม้ว่า WiFi 7 จะมีการปรับปรุงที่มากยิ่งขึ้น และเป็นการใช้ช่องสัญญาณความถี่ใหม่คือ 6GHz แต่สิ่งสำคัญคือต้องทราบว่าคุณประโยชน์ทั้งหมดของแต่ละมาตรฐานจะเกิดขึ้นได้ด้วยฮาร์ดแวร์ที่เข้ากันได้และในสภาวะที่เหมาะสมเท่านั้น เช่นอุปกรณ์ปลายทาง Laptop, Smart Phone, Tablet ต้องรองรับด้วยเช่นกัน รวมถึงการออกแบบติดตั้งอุปกรณ์ Access Point เนื่องจาก Wi-Fi มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จึงมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการรองรับความต้องการการสื่อสารไร้สายความเร็วสูง มีประสิทธิภาพ และเชื่อถือได้ที่เพิ่มขึ้น
ที่มา: www.cisco.com, www.arubanetworks.com and www.ruckusnetworks.com